แบบทดสอบ เรื่องภูมิคุ้มกันของร่างกาย

 

 

 

ลองทำดู... วัดความรู้ตนเองค่ะ

                       

   

 

๑. ข้อใดกล่าวถูกต้อง

          ๑.  เชื้อเอดส์เกิดจากไวรัส จึงไม่สามารถผลิตวัคซีนป้องกันได้

          ๒.  วัคซีน และ เซรุ่ม ที่ผลิตจากเชื้อโรคเดียวกันต้องใช้คู่กัน

          ๓.  วัคซีนให้ผลต่อร่างกายน้อยกว่าเซรุ่ม แต่ภูมิคุ้มกันของโรคได้นานกว่าเซรุ่ม

          ๔.  วัคซีนและเซรุ่มมีกรรมวิธีผลิตเหมือนกันแต่มีปฏิกิริยาในร่างกายที่ต่างกัน

๒.  ลักษณะของภูมิคุ้มกันที่ก่อเองเป็นดังข้อใด

          ๑.  ร่างกายไม่ได้สร้างขึ้นมาเอง เกิดผลช้า แต่อายุสั้น

          ๒.  ร่างกายสร้างขึ้นมาเอง เกิดช้า แต่ผลของการทำงานยาวนาน

          ๓.  ร่างกายไม่ได้สร้างขึ้นมาเอง แต่เห็นผลทันที อายุการทำงานาน

          ๔.  ร่างกายสร้างขึ้นมาเอง เกิดอย่างรวดเร็ว และปรากฏผลในระยะสั้น

๓.  เม็ดเลือดขาวในข้อใดเกี่ยวข้องกับการสร้าง Antibody

          ๑.  Neutrophil            ๒.  Monoclyte

          ๓.  Lymphocyte         ๔.  Basophil

๔.  เด็กชายสมชายเคยเป็นโรคคางทูมมาก่อน แม้จะเล่นคลุกคลีกับเพื่อนที่เป็นโรคคางทูม สมชายไม่เป็นโรค 

     นี้อีก แสดงว่า สมชายมีการสร้างภูมิคุ้มกันแบบใด

          ๑.  ภูมิคุ้มกันโดยกำเนิด                      ๒.  ภูมิคุ้มกันจำเพาะ

          ๓.  ภูมิคุ้มกันก่อเอง                           ๔.  ภูมิคุ้มกันที่รับมา

          ๑.  1 และ 3              ๒.  1 และ 4             

          ๓.  2 และ 3              ๔.  2 และ 4

๕.  การให้ทารกดื่มนมของมารดา ทารกได้รับภูมิคุ้มกันชนิดใด

          ๑.  ภูมิคุ้มกันก่อเอง                 ๒.  ภูมิคุ้มกันที่รับมา            

          ๓.  ภูมิคุ้มกันที่ก่อเองและรับมา  ๔.  ไม่ได้รับภูมิคุ้มกัน

๗.  สารแอนติบอดี ซึ่งสร้างโดยเม็ดเลือดขาวจะมีการลำเลียงไปในร่างกายโดยข้อใด

          ๑.  ระบบหมุนเวียนเลือด           ๒.  ระบบหมุนเวียนน้ำเหลือง

          ๓.  ซึมผ่านทางเนื้อเยื่อ            ๔.  ซึมผ่านไปกับของเหลวระหว่างเซลล์

๘.  ภูมิคุ้มกันก่อเอง  (Active  Immunity)   จะถูกสร้างขึ้นจากข้อใด

      ๑.  มนุษย์ด้วยกัน                 ๒.  สัตว์ทดลองบางชนิด

      ๓.  เซลล์ของคนใดคนหนึ่ง    ๔.  การเคยเป็นโรคชนิดนั้นมาก่อน

๙.  ภูมิคุ้มกันรับมา หมายถึงข้อใด

          ๑. ภูมิคุ้มกันโรคซึ่งมีมาแต่กำเนิด  

          ๒. ภูมิคุ้มกันโรคซึ่งมีเฉพาะเชื้อโรค

          ๓. ภูมิคุ้มกันโรคซึ่งสร้างขึ้นครั้งแรกจากสัตว์อื่นหรือคนอื่น

          ๔. ภูมิคุ้มกันโรคที่สัตว์สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการรุกรานของเชื้อโรค

๑๐.  สารใดต่อไปนี้จะถูกใช้บ่อย ๆ ในการให้ภูมิคุ้มกันแบบ  Passive  Immunity 

          ๑.  Serum       ๒.  Vaccine

          ๓.  Toxoid      ๔.  Antitoixtn

๑๑. สารในข้อใดต่อไปนี้มีคุณสมบัติเป็นแอนติเจน   (Antigen )

          ๑.  วัคซีน          ๒.  ทอกซิน

          ๓.  ทอกซอยด์   ๔.  ถูกหมดทุกข้อ

๑๒.  อวัยวะใดต่อไปนี้ไม่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน

          ๑.  ม้าม (  Spleen )                    ๒.  ตับ ( Liver )

          ๓.  ต่อมไทมัส ( Thymus Gland )  ๔.  ต่อมน้ำเหลือง  ( Lymph nodes )

๑๓.  ข้อใดคือสารพิษซึ่งเชื้อโรคปล่อยออกสู่กระแสโลหิต 

      ๑.  Toxin                  ๒.  Toxoid      

      ๓.  Antibody             ๔.  Lethal

๑๔. เมื่อมีอหิวาตกโรคระบาด  นักเรียนจะถูกแนะนำให้ไปรับการฉีดวัคซีนในข้อใด

          ๑.  แอนติบอดีที่อยู่ในเซรุ่ม        

          ๒.  แอนติเจน  และแอนติบอดีที่อยู่ในเซรุ่ม

          ๓.  เชื้อโรคที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์หรือตายลงแล้ว

          ๔.  สารพิษที่แบคทีเรียสร้างขึ้นและถูกทำให้หมดฤทธิ์แล้ว

๑๕.  ข้อความใดแสดงถึงการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน

          ๑.  นิวรับประทานยาที่แพทย์สั่งจนครบ             

          ๒.  ปิ๋มหายหวัดได้เองโดยไม่ต้องไปหาหมอ

          ๓.  โบใช้แอลกอฮอล์เช็ดรอบปากแผลที่โดนมีดบาด

          ๔.  ถูกทุกข้อ

๑๖.  แอนติเจน (antigen) คืออะไร

          ๑.  โปรตีนที่อยู่บนผิวเซลล์ของเชื้อโรค

          ๒.  สารที่เม็ดเลือดขาวสร้างขึ้นเพื่อกำจัดเชื้อโรค

          ๓.  สารที่เชื้อโรคปล่อยออกมาเพื่อกำจัดเซลล์เม็ดเลือดขาว

          ๔.  สารที่เกิดขึ้นหลังจากเซลล์เม็ดเลือดขาวกำจัดเชื้อโรคแล้ว

๑๗.  เซลล์บีและเซลล์ทีทำงานสัมพันธ์กันลักษณะใด

          ๑.  เซลล์บีกระตุ้นเซลล์ทีให้ผลิตแอนติบอดี

          ๒.  เซลล์ทีผู้ช่วยกระตุ้นให้เซลล์บีสร้างแอนติบอดี

          ๓.  เซลล์บีสร้างแอนติบอดีเพื่อกระตุ้นการทำงานของเซลล์ที

          ๔.  เซลล์ทีผู้ช่วยสร้างแอนติเจนกระตุ้นการทำงานของเซลล์บี

๑๘.  วัคซีน  คืออะไร

          ๑.  แอนติบอดีที่อยู่ในเซรุ่ม

          ๒.  แอนติบอดี และ แอนติเจนที่อยู่ในเซรุ่ม

          ๓.  เชื้อโรคที่ถูกทำให้อ่อนฤทธิ์หรือตายแล้ว

          ๔.  สารพิษและแบคทีเรียสร้างขึ้นและถูกทำให้หมดฤทธิ์ลงแล้ว

๑๙.  เซรุ่มคืออะไร

          ๑.  แอนติเจนที่ได้จากม้า                     ๒.  ทอกซอยด์ที่ได้จากม้า

          ๓.  แอนติบอดีที่ได้จากกระต่าย             ๔.  เซลล์เม็ดเลือดขาวที่ได้จากกระต่าย

๒๐.  ร่างกายสามารถกำจัดเชื้อโรคหรือสารพิษที่นำมาทำเป็นวัคซีนได้เพราะอะไร

          ๑. เชื้อโรคในวัคซีนตายแล้ว                             ๒. เชื้อโรคในวัคซีนมีฤทธิ์อ่อนลงมาก

          ๓. สารพิษในวัคซีนหมดความเป็นพิษแล้ว            ๔. ถูกทุกข้อ

๒๑.  นักเรียนคนหนึ่งถูกตะปูตำ ทำให้เกิดโรคบาดทะยัก อาการน่าวิตกกังวล นักเรียนควรได้รับการรักษาโดย

       การให้สารใด

          ๑.  วัคซีน                            ๒.  เซรุ่ม                 

          ๓.  ทอกซอยด์                      ๔.  แอนติเจน

๒๒.  หลักการทำงานของวัคซีนคืออะไร

          ๑.  ใช้ทอกซินกระตุ้นการสร้างเซลล์ทีผู้ช่วย

          ๒.  ใช้ทอกซินกระตุ้นการสร้างเซลล์พลาสมา

          ๓.  ใช้เชื้อโรคที่แข็งแรงกระตุ้นการสร้างเซลล์เมมเมอรี

          ๔.  ใช้เชื้อโรคที่ตายแล้วกระตุ้นการสร้างเซลล์เมมเมอรี

๒๓. พิษซึ่งทำให้อ่อนลงแล้วฉีดเข้าสู่ร่างกายเพื่อกระตุ้น ให้ร่างกายสร้างแอนติบอดี คือข้อใด

          ๑.  ซีรัม                             ๒. วัคซีน                  

          ๓. ทอกซอยด์                        ๔. ถูกทุกข้อ

คำชี้แจง  ใช้ภาพต่อไปนี้ตอบคำถามข้อ ๒๔ – ๒๕

 

 

๒๔. จากรูป หมายเลข ๑ คือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดใด

          ๑. Monocyte                      ๒. Lymphocyte              

          ๓. Neutrophil                      ๔. Eosinophil

๒๕. จากรูป หมายเลข ๒ คือเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดใด

          ๑. Monocyte                       ๒. Lymphocyte              

          ๓. Neutrophil                      ๔. Eosinophil

๒๖. ร่างกายสามารถกำจัดเชื้อโรคหรือสารพิษที่นำมาทำเป็นวัคซีนได้เพราะอะไร

      ๑. เชื้อโรคในวัคซีนตายแล้ว                                   ๒. เชื้อโรคในวัคซีนมีฤทธิ์อ่อนลงมาก

      ๓. สารพิษในวัคซีนหมดความเป็นพิษแล้ว                 ๔. ถูกทุกข้อ

๒๗. วัคซีนกับเซรุ่มต่างกันอย่างไร

          ๑.  วัคซีนและเซรุ่มเป็นภูมิคุ้มกันที่รับมา

          ๒.  วัคซีนและเซรุ่มเป็นภูมิคุ้มกันที่ก่อเอง

          ๓.  วัคซีนเป็นภูมิคุ้มกันก่อเอง เซรุ่มเป็นภูมิคุ้มกันที่รับมา

          ๔.  เซรุ่มเป็นภูมิคุ้มกันที่ก่อเอง วัคซีนเป็นภูมิคุ้มกันที่รับมา

๒๘. วัคซีนที่ต้องให้เด็กซึ่งอายุไม่เกิน  10  ปี โดยวิธีหยดให้รับประทานนั้นเป็นวัคซีนป้องกันโรคใด

          ๑.  วัณโรค                           ๒.  ไอกรน                

          ๓.  บาดทะยัก                       ๔.  โปลิโอ

๒๙.  ภูมิคุ้มกันก่อเอง  (Active  Immunity)   จะถูกสร้างขึ้นจากข้อใด

      ๑.  มนุษย์ด้วยกัน                 ๒.  สัตว์ทดลองบางชนิด

      ๓.  เซลล์ของคนใดคนหนึ่ง    ๔.  การเคยเป็นโรคชนิดนั้นมาก่อน

๓๐. ข้อใดไม่มีผลที่ทำให้ภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคลไม่เท่ากัน

          ๑.  พันธุกรรม             ๒.  ยาบางชนิด            

          ๓.  ภาวะโภชนาการ     ๔.  ไม่มีข้อถูก

๓๑. วัคซีนที่ป้องกันโรคหัดเยอรมัน คางทูม ฉีดตั้งแต่เด็กที่มีอายุเท่าใด

          ๑.  2-6 เดือน                                           ๒.  10 เดือนขึ้นไป                              

          ๓.  15 เดือนขึ้นไป                                    ๔.  1-6 ปี เหมาะสมที่สุด

๓๒.  ถ้าตรวจเลือดแล้วพบว่าเม็ดเลือดขาวเพิ่มมากขึ้นผิดปกติแสดงว่าเป็นโรคอะไร

          ๑.เอดส์             ๒.ติดเชื้อ

          ๓.เลือดจาง       ๔.ธาลัสซีเมีย

๓๓. ข้อใดกล่าวถูกต้อง

          ๑.  เชื้อเอดส์เกิดจากไวรัส จึงไม่สามารถผลิตวัคซีนป้องกันได้

          ๒.  วัคซีน และ เซรุ่ม ที่ผลิตจากเชื้อโรคเดียวกันต้องใช้คู่กัน

          ๓.  วัคซีนให้ผลต่อร่างกายน้อยกว่าเซรุ่ม แต่ภูมิคุ้มกันของโรคได้นานกว่าเซรุ่ม

          ๔.  วัคซีนและเซรุ่มมีกรรมวิธีผลิตเหมือนกันแต่มีปฏิกิริยาในร่างกายที่ต่างกัน

๓๔. ข้อใดกล่าวถึงเซรุ่มไม่ถูกต้อง

          ๑.  ไม่ใช่วัคซีน

          ๒.  อาจทำให้เกิดการแพ้อย่างรุนแรงได้

          ๓.  สามารถผลิตจากวัคซีน และสามารถผลิตจากเชื้อโรค

          ๔.  เป็นการนำแอนติบอดีเข้าสู่ร่างกายโดยตรง ทำให้ภูมิคุ้มกันโรคได้ทันที 

๓๕. สารในกระแสดเลือดที่ทำหน้าที่ป้องกัน หรือกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เป็นตัวการทำให้เกิดโรค คือ

          ๑.  Vaccines    ๒.  Immunity           

          ๓.  antibody    ๔.  Antitoxin

๓๖. ข้อใดเป็นเซรุ่มกับวัคซีน

          ๑.  วัคซีนและเซรุ่มเป็นภูมิคุ้มกันที่รับมา

          ๒.  วัคซีนและเซรุ่มเป็นภูมิคุ้มกันที่ก่อเอง

          ๓.  วัคซีนเป็นภูมิคุ้มกันก่อเอง เซรุ่มเป็นภูมิคุ้มกันที่รับมา

          ๔.  เซรุ่มเป็นภูมิคุ้มกันที่ก่อเอง วัคซีนเป็นภูมิคุ้มกันที่รับมา

๓๗. สารในข้อใดต่อไปนี้ที่ช่วยให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันโรคได้รวดเร็วที่สุด

          ๑.  Vaccines    ๒.  Toxin                 

          ๓.  Toxoid      ๔.  Serum

๓๘. วัคซีนป้องกันโรคหัดเยอรมัน และคางทูม ใช้ฉีดให้แก่เด็กที่มีอายุตั้งแต่

          ๑.  2-6 เดือน               ๒.  10 เดือน ขึ้นไป      

          ๓.  15 เดือนขึ้นไป        ๔.  1-6 ปีเหมาะสมที่สุด

๓๙.  เด็กแรกเกิด- 1 เดือน จะมีการสร้างภูมิคุ้มกันโดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคใด

          ๑.  BCG  - วัณโรค        ๓. OPV – โปลิโอ

          ๒.  BCG – โปลิโอ         ๔. DTP - คอตีบ บาดทะยัก ไอกรน

๔๐. เราจะแยกซีรัมออกจากเลือดได้โดย

          ๑. แยกเอาเม็ดเลือดออก                              

          ๓. แยกเอาโปรตีนที่ละลายในเลือดออก

          ๒. กรองเอาส่วนของเลือดที่แข็งตัวออก  

          ๔. แยกอาส่วนที่เป็นเม็ดเลือดและไฟบริโนเจนออก

Visitors: 70,652